ฟรานซิสกัน เฮลท์ ในเมืองคราวน์พอยต์ รัฐอินเดียนา ได้เริ่มการสอบสวนภายใน หลังจากวิดีโอที่เผยให้เห็นหญิงผิวดำชื่อเมอร์เซเดส เวลส์ กำลังคลอดบุตรในรถบรรทุกหลังจากถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าโรงพยาบาล กลายเป็นกระแสไวรัล เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจในโซเชียลมีเดีย และจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันอีกครั้งเกี่ยวกับคุณภาพการดูแลที่มอบให้กับหญิงผิวดำในสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์
ข้อเท็จจริงที่รายงาน
ตามรายงานของเมอร์เซเดส เวลส์ ที่รายงานโดย เอ็นบีซี ชิคาโก คุณแม่ยังสาวรายนี้ไปโรงพยาบาลหลังเที่ยงคืนไม่นานในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2025 เมื่อเธอเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์ มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แจ้งกับเธอว่าการคลอดยังไม่คืบหน้า และแนะนำให้เธอกลับบ้านและรอให้อาการดีขึ้น
หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน อาการเจ็บท้องก็รุนแรงขึ้นจนลีออน สามีของเธอต้องไปคลอดลูกเพียงลำพังในรถบรรทุกที่จอดอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล “ผมเห็นเธอเบ่ง...ลูกคลอดออกมาแล้ว ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ผมเลยอธิษฐาน” เขากล่าวกับสื่อ วิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นคุณแม่อุ้มลูกแรกเกิด โดยที่สายสะดือยังติดอยู่ ห่างจากสถานพยาบาลที่เพิ่งปล่อยเธอกลับบ้านเพียงไม่กี่เมตร
@shans_sweet_tea Mercedes Wells ถูกกล่าวหาว่าถูกไล่ออกจาก Franciscan Health Crown Point ในรัฐอินเดียนา หลังจากถูกบอกว่าเธอ "ยังไม่ถึงจุดสุดยอด" #mercedeswells #indiana #childbirth #greenscreenvideo #greenscreen ♬ เสียงต้นฉบับ - Shans Sweet Tea
เสียงตอบรับจากประชาชนและโรงพยาบาล
ภาพดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสตอบรับอย่างล้นหลามทางออนไลน์ โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากแสดงความไม่พอใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บางข้อความประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ไม่อาจยอมรับได้" และ "เหยียดเชื้อชาติ" พร้อมทั้งอธิบายว่าเหตุการณ์ที่ควรจะ "น่ายินดีและน่าจดจำ" กลับกลายเป็นต้นตอของบาดแผลทางใจสำหรับครอบครัวเวลส์
เพื่อตอบสนองต่อข้อโต้แย้งดังกล่าว Franciscan Health ได้ออกแถลงการณ์รับรองว่า "สุขภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วยยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด" และประกาศเปิดการสอบสวนภายในเพื่อชี้แจงถึงสถานการณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การตรวจสอบภายในที่ดำเนินการโดยโรงพยาบาลฟรานซิสกัน เฮลท์ จะพิจารณาว่ามีการนำระเบียบปฏิบัติไปใช้อย่างถูกต้องหรือไม่ และการสื่อสารที่ดีขึ้นสามารถป้องกันโศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้หรือไม่ นอกเหนือจากกรณีเฉพาะรายนี้ เหตุการณ์นี้ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตรวจสอบคุณภาพการดูแลและการรักษาที่มอบให้กับสตรีที่เผชิญกับภาวะฉุกเฉินทางสูตินรีเวชอย่างละเอียด โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังหรือสถานะทางสังคมของพวกเธอ
